วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559


Taiwan is calling
--------------------------------------------------
เที่ยวไต้หวันตามเสียงเรียกร้อง

         กันยายน 2558 
                               
                               น้า : ไปเที่ยวไต้หวันกัน !
                               เรา : ฮะ !! ไต้หวันมีไร ทำไมถึงอยากไป เห็นช่วงนี้มีแต่คนไปด้วย ไปฮ่องกง
                                       มาเก๊าไม่ดีกว่าหรอ
                               น้า : ..... 
        เมื่อโปรโมชั่น บินตรง กรุงเทพฯ - ไทเป สายการบิน NokScoot มาถึง
                            
        -----ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์-----
น้า : จองละนะ ไทเป
เรา : ฮะ !!! ไปจริงดิ 
น้า : (มาพร้อมหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน)
เรา : หืมมม.... (ไม่คิดว่าเอาจริง 5555)
น้า : เตรียมตัว ทำแผนเที่ยวด้วย ครั้งนี้ไป Backpack นะ !!

                   ตั้งแต่วันนั้นที่รู้ว่าต้องไปเที่ยว Backpack ต่างประเทศครั้งแรก เราก็ตั้งหน้าตั้งตาหารายละเอียดตั้งแต่ ไต้หวันอยู่ตรงไหนของโลก 5555 มีอะไรให้เที่ยวบ้าง นอกจากวัด !!! ในใจตอนนั้นคิดว่า ต้องอารมณ์มีแต่วัดจีนแน่ๆ และต่อมาก็มีคนแนะนำให้เข้าร่วมใน
 >>>>>  กลุ่ม TAIWAN หว่อไหลเลอ!- อย่างเยอะ เที่ยว กิน ช็อป!! 

                    ต้องของขอบคุณกลุ่มนี้มากๆเลยคะ เรียกได้ว่า อยู่รอดปลอดภัยในไต้หวันได้เพราะกลุ่มนี้เลย ทั้งการเดินทาง อาหารการกิน แหล่งช้อปปิ้ง ครบมากคะ ^^

เริ่มรู้จักไต้หวันไปกับเราเลยละกัน!!! 

                    ไต้หวัน อยู่ห่างจากไทยไปไม่มาก (ถ้าดูจากแผนที่โลก) ใช้เวลาบินตรงจากดอนเมืองประมาณ 3 ชม. คะ เวลาที่ไต้หวัน เร็วกว่าเวลาไทย 1 ชม. เป๊ะ !!


อ้อ !!! จะเข้าประเทศไต้หวันได้ ต้องมี วีซ่า !!! 
          ธันวาคม 2558 

ปัญหาเริ่มบังเกิด อันดับแรก หาข้อมูลการขอวีซ่าไต้หวันคะ
>>เซิดอากู๋เลยคะ มีคำแนะนำมากมายเลย<<

วีซ่าไต้หวัน ขอไม่ยากคะ แค่เอกสารครบ (ยากตรงนี้แหละ 5555) เราขอครั้งเดียวผ่าน !

**แนะนำ ถ้าเป็นนักศึกษา หลักๆเลยคือ หลักฐานการเป็นนักศึกษา และหลักฐานต่างๆของผู้ปกครองที่สนับสนุนการเดินทางของเรา (พูดง่ายๆคือ คนที่ออกเงินให้เรานั่นแหละ 5555) สำคัญมากคือ หลักฐานการทำงานของผู้ปกครอง และเล่มบัญชีที่มีเงินเข้าออกตลอด (ไม่แน่ใจว่าขั้นต่ำในเล่มต้องเท่าไหร่นะ)

ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า 1,500 บาท ถ้าไม่ผ่านก็เสียฟรี ! ขอใหม่ ฉะนั้น เอาครั้งเดียวให้ผ่านดีกว่าเนอะ 

จองตั๋วเดือนกันยา ทำวีซ่าเดือนธันวา ไปมกรา จ้าาา 5555 
**อย่าทำวีซ่าใกล้วันไปมากนะ เผื่อไม่ผ่าน >< **



>> นี่เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ไม่รวมค่าช้อปปิ้งบางอย่าง และไม่รวมค่าวีซ่า นะ <<
**ในส่วนของตั๋วเครื่องบิน สามารถประหยัดในส่วนของค่าเลือกที่นั่ง 
และค่าซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มได้น้า **

(เราเสียค่าซื้อน้ำหนักกระเป๋าฟรีเลย ทั้งไป-กลับ กลัวน้ำหนักเกินซื้อเผื่อแต่ใช้ไม่ถึงด้วยซ้ำ 5555)

พร้อมรู้จักไต้หวันแล้วรึยังงง พร้อมแล้ว ไป !!!



            13 มกราคม 2559 (วันเดินทางไป-กลับ ไม่ขอนับนะ)

                              ถึงสนามบินดอนเมือง ประมาณ 3 ทุ่มนิดๆ แถวยาวมากกกกกกก ส่วนมากเหมือนเป็นคนไต้หวันกลับไปก็เยอะคะ 
   
                              23.45 น. เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวออกไปตามทางรันเวย์ พร้อมบิน !!! เรามาสำรวจเครื่องบิน NokScoot กันหน่อยดีกว่า เครื่องใหญ่ นั่งสบาย บรรจุผู้โดยสารได้ราวๆ 415 คนเลยทีเดียว


               DAY 1____ 14 มกราคม 2559

                        เวลาไทย 03.20 น. เวลาไต้หวัน 04.20 น. ถึงสนามบินเถาหยวน ประเทศไต้หวัน แล้วค่าาาา อากาศที่ไต้หวันตอนนั้น 13 องศาเซียลเซียส สนามบินเขาก็สวยดีน้าาา แต่แอร์เย็นมากกกก ที่สำคัญคือ Wifi สนามบินเข้าใช้ได้เลย โดยไม่ต้อง login คือดีมากกกก แรงด้วย > <


จากนั้นเราก็พยายามเดินหาจุดบริการนักท่องเที่ยวคะ เพื่อจะขอใช้ Wifi ในไต้หวันฟรี แต่ตอนนั้นเขายังไม่เปิดเคาท์เตอร์ เราเลยเดินลงไปชั้นล่าง เพื่อจะต่อรถไป Sun moon lake 

ตอนนั้นตัดสินใจอยู่ว่าจะขึ้นรถของบริษัทไหนดี มีอยู่ 3 บริษัท (U bus, KuoKuang, Free go bus) เราเลือกขึ้นรถของ Free go bus คะ เพราะอ่านรีวิวมาเขาบอกว่าจอดใกล้ท่ารถที่จะไป Sun moon lake  (SML) มาที่สุด และตอนนั้นเวลาได้พอดีกับบริษัทนี้ด้วย คือ รถออกเวลา 06.50 น. 

พอเดินไปเคาท์เตอร์ซื้อตั๋วรถบัส ความประทับใจแรกก็เกิดขึ้น คุณลุงขายตั๋วดีมากกก เขาเห็นเรางงกันเรื่องท่ารถว่าควรจะลงท่าไหน ที่จะต่อรถไป SML ได้ เขาเลยเขียนภาษาจีนให้เราเพื่อให้เราให้กับคนขับรถบัส 
ต้องบอกเลยว่า เพราะลุงคนนี้ เลยทำให้เรา 2 คนเดินทางถึง SML ได้อย่างปลอดภัย ^^

                       ได้ตั๋วรถบัส พร้อมกระดาษที่ลุงขายตั๋วเขียนภาษาจีนมาให้แล้ววว ไปต่อกันเล้ยยยย


เมื่อรถบัสมาถึง ดูดีมากเลยคะ 5555 ไม่มีคนเลย สงสัยว่าจะเป็นท่ารถแรก เราขึ้นจากสนามบิน Terminal 1 คะ


ป้ายบนรถคะ เราขึ้นจาก Taoyuan Airport -> Taichung 
                   การเดินทางจากสนามบินเถาหยวน ไป SML มีหลายรูปแบบนะคะ อาจจะขึ้นรถบัสไปลงสถานีรถไฟความเร็วสูง (THSR ค่ารถไฟ 500 กว่าเหรียญ เลยยยย)  ไปลงเมืองไทจง เลยก็ได้ แต่ก็ต้องต่อรถบัสจาก ไทจงไปหนานโถว ซึ่งเป็นที่ตั้งของ SML อีกทีคะ

                   แต่ที่เราเลือกกันคือ รถบัส คะ เนื่องจากเรา ประหยัด ! 55555 (ค่ารถบัสประมาณ 240 NT นะคะ ถ้าจำไม่ผิด) เราจะขึ้นรถบัสไปลงไทจง และต่อบัสจากไทจง ไปหนานโถว คะ


                 ที่นั่งในรถบัส หรูเลยทีเดียว แต่นั่งไม่ค่อยสบายคะ นอนไม่ค่อยหลับ 5555



                            ถนนที่เมืองไทจงคะ หลังจากเราลงรถบัสแล้ว ลุงคนขับรถใจดีอีกแล้วว เขาชี้บอกเราสองคนว่า ตรงนั้นนะ ท่ารถที่ต่อรถไป SML แล้วเราก็งงเดินลงรถไปแบบไม่แน่ใจ ลุงขับรถยังชะลอรถกลางถนน บีบแตรใส่เราสองคน แล้วชี้อีกรอบ 555555 ประมาณว่า ตรงนั้น อ้ะ!!! ลุงใจดีสุดๆไปเลยยย 

                             เราต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งคะเพื่อขึ้นรถ และถนนก็ข้ามงงมากกกกก ทั้งที่ไฟคนข้ามได้เขียว แต่รถมา เจอรถบีบแตรใส่ด้วย 5555 



                 
ตรงที่มีรถสีเขียวๆ นั่นแหละคะ ท่ารถไป SML !!!! 


ถึงท่ารถ อันดับแรก ซื้อ Pass ใช้สำหรับเดินทางที่ SML คะ เราเลือกซื้อราคา 750 NT 
มีค่ารถไป-กลับ (ไทจง-หนานโถว), ค่ากระเช้า, ค่ารถบัสที่วนรอบ SML และค่าเรือเทียบท่า 3 ท่า

ถูกกว่าแบบซื้อแยกค่ารถ กับ Pass 20 NT คะ

อันนี้เป็นราคา Pass SML แบบอัพเดตปี 2016 นะคะ ราคาขึ้น!!!! 
อ่านรีวิวมามันถูกกว่านี้ เลยถ่ายรูปมาฝาก แหะๆ




หน้าตาของ Pass ที่เราซื้อเป็นแบบนี้คะ เป็นบัตรแข็ง สวยงามน่ารักดี ^^

ใช้ง่ายด้วย เวลาขึ้นรถบัสก็แปะตรงแถวคนขับคะ แปะบัตรทั้งตอนขึ้นและลงรถเลยนะ


เย้ๆๆ ถึง SML แล้ววว ที่พักเราอยู่ไม่ไกลจากท่ารถและไม่ไกลจากท่าเรือด้วย ดีสุดๆเลยย

ป้ายสีเหลืองๆ ที่มีพระจันทร์เสี้ยวทางซ้าย นั่นแหละคะ ที่พักคืนแรกของเรา!!! 
อันดับแรกไปฝากกระเป๋าก่อนคะ เพราะเขาให้เช็คอินได้เวลา 15.00 น. เลย
(แอบมีร่องรอยของฝนตกด้วย)


                    หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จแล้ว หิวค่าาาาา ถึงเที่ยงๆพอดี หาของกินกันดีกว่านะ
มื้อแรกที่ไต้หวันของเรา เรียกได้ว่า พลาดมาก 55555555 
ตอนแรกส่งเมนูภาษาจีนมาให้ งงคะ เลยขอเมนูภาษาอังกฤษ เมนูที่สั่งมาเข้าใจผิดหมดเลย 55555
ด้วยความที่ว่า ภาษาอังกฤษมันกำกวม ไม่เหมือนชื่อเมนูภาษาไทยแบบที่เราเข้าใจกัน 

                                อย่างเช่น เมนูไก่ต้มจิ้มน้ำจิ้ม เราเข้าใจกันว่ามันคือ ไก่ผัดซีอิ้วขาว ทำนองนั้น พอได้มา หืมมมมม ไก่ต้มจิ้มน้ำจิ้มคล้ายๆ ข้าวมันไก่อ่าคะ 55555 ยังไม่สาแก่ใจ 

                                 ข้าวที่เหมือนข้าวหลามนั้น สั่งเพราะจริงๆอยากกินข้าวเปล่า แต่ในใบเมนูอาหารไม่มีเขียนข้าวเปล่า ก็ไม่รู้จักสั่งอะไร เห็นว่ามีข้าวประกอบอยู่ เราเข้าใจกันว่า มันคือข้าวผัดใส่หน่อไม้คะ  พอได้มา งงเลยยยย รสชาติมันเหมือน "บ๊ะจ่าง" แต่ยัดใส่ในกระบอกไม้ไผ่อ่า ตอนแรกสั่งมา 1 กระบอก พอเห็นมาเสิร์ฟแล้วสั่งเพิ่มอีกกระบอกเฉย 5555 สรุปเหลือ 1 กระบอกเต็มๆ ตอนจ่ายเงินเลยให้เขาใส่ถุงให้ไว้กินตอนหิวแทน 

                         เรื่องรสชาติ ต้มๆนั้น คือต้มแนวไหนไม่รู้ ใส่เต้าหู้คะ กินตอนหนาวๆ ในหม้อไฟอุ่นๆ ก็อร่อยดี ส่วนไก่ น้ำจิ้มนี่ค่อนข้างหนักกระเทียม แต่น้ำจิ้มข้าวมันไก่บ้านเราอร่อยกว่า คิดว่านะ เหมือนกินข้าวมันไก่เลย 5555 ข้าวในกระบอกไม้ไผ่ก็อร่อยคะ แต่กินมากก็เลี่ยนไปตามระเบียบ


                               พอกินไปสักพัก แอบเห็น โต๊ะรอบๆสั่งไรมาไม่รู้ น่ากินไปหมด เหมือนเมนูภาษาจีนของร้านมันมีทั้งรูปทั้งเมนูที่มากกว่า ภาษาอังกฤษยังไงไม่รู้ เราก็สั่งกันไม่เป็น 5555 กินแบบพลาดๆไป 1 มื้อ ราคาอยู่ที่ 700 กว่าเหรียญ คะ ประมาณ 800 กว่าบาท ไทย T^T

                                อิ่มท้องแล้วว เราก็มุ่งหน้าไปท่าเรือเลยยย ไปถึงก็งงคะ เดินมุ่งจะขึ้นเรือเลย 555555 มีเด็กคนหนึ่งพูดจีนใส่ ฟังไม่ออกค่าาา ฟังออกแต่ "ไทกั๋ว" ชัดเจนว่า เขาบอกอีกคนว่า เราสองคนเป็นคนไทยคะ 55555  เลยโชคดีมีลูกเรืออีกคนพอพูดอังกฤษได้ เลยสื่อสารกันรู้เรื่อง

                    อันดับแรกเราต้องเอา Pass บัตรแข็งไปแลกบัตรขึ้นเรือก่อนคะ และเขาจะปั้มที่มือเราแบบนี้ เพื่อเป็นการแสดงว่า จ่ายเงินแล้วประมาณนั้น จากนั้นก็ขึ้นเรือไปได้เล้ยยยย


นี่คือบรรยากาศของท่าเรือแรกคะ (ท่าเรือที่พักเรา และท่ารถ เรียกได้ว่าท่าเรือหลักเลยก็ว่าได้)
แต่เราจำชื่อท่าเรือแต่ละท่าไม่ได้ T^T สามารถดูได้จากโบว์ชัวได้นะคะ 


เรือสีส้มๆ คะ เป็นเรือที่เราต้องขึ้น และไม่ว่าจะไปลงท่าไหน เราก็ต้องขึ้นเรือสีส้มเหมือนเดิมนะ


                                    มุมหนึ่งจากท่าเรือที่ 2 คะ ท่าเรือนี้มีวัดเจ้าแม่กวนอิม ถ้าจำไม่ผิดนะ แต่ต้องเดิน   ขึ้นไปสูงมากกกก เราว่าเราเก็บแรงไว้ดีกว่า ล้าแล้ว 5555 เลยไม่ได้ขึ้นไปถึงวัดคะ 
                                  มองไปจะเห็นท่าเรือแรกอยู่ตรงข้าม


                               มาถึงท่าเรือที่ 3 กันแล้วววว ท่าเรือนี้เป็นท่าเรือที่ขึ้นไปกระเช้าคะ มีตลาดเล็กๆ มีร้านของฝาก และมีลานกว้างๆ จะมีคนมาร้องเพลง ไม่แน่ใจว่าเปิดหมวกหรือเปล่า



ทางเดินไปขึ้นกระเช้าค่อนข้างไกลนิดนึงเลยแหละคะ 5555 เดินกันยาวๆๆๆๆ
อันนี้คือใกล้ถึงแล้วนะคะ ก่อนหน้านี้จะผ่านทางเลียบภูเขา อากาศเย็นสบายเลย


                    ถึงแล้วค่าาาา เราต้องขึ้นไปในตึกนี้เพื่อขึ้นกระเช้ากันนนน


การขึ้นกระเช้าก็ขึ้นไปชั้น 2 เดินไปตามทาง มีพนักงานแนะนำคะ แปะบัตร Pass ของเรา เปิดประตูผ่านเข้าไป รอกระเช้ามา ก็ขึ้นได้เล้ยยย 
ตอนนั้นเรากลัวไม่ทัน เลยขึ้นกระเช้าพื้นทึบไปคะ ถ้าพื้นกระจกต้องรอนานนนน 

วิวนี้ขึ้นไปได้ไม่ไกลมาก มองลงมา แอบขาสั่นเลย 5555


วิวที่มองจากกระเช้าลงมา ตรงนี้เป็นระหว่างเขาลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่ง
กระเช้าที่นี่ทำดีมากกกกกก ข้ามเขา 2 ลูกเลย 


กำลังจะข้ามเขาลูกที่ 2 แล้วววว


เมื่อขึ้นกระเช้ามาสุดทาง เขาบังคับให้เราลงอ่ะ 5555  จริงๆเรากะไม่ลงแล้วขึ้นกลับเลย ก็ต้องลงคะ เพราะมีคนต่อแถวรอขึ้นกลับอีกฝั่ง อันนี้เป็นหมู่บ้านชนเผ่า ข้างในมีสวนสนุกด้วย 
ถ้ามองจากกระเช้าตอนขึ้นมาจะเห็น เป็นสวนสนุกกลางเขาเลย ค่าเข้าประมาณ 780 NT เราไม่เข้าคะ 5555555



พอลงมาถึงพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้วพอดีเลย มีเรา กับคนไม่กี่คนและกลุ่มนักเรียนที่น่าจะมาทัศนศึกษากันคะ



เดินกลับไปท่าเรือต่อไป


                              เมื่อกลับมาถึงท่าเรือที่พักของเรา เรายังไม่เช็คอินคะ รีบก่อนน จะไปวัดเหวินหวู่ ต่อก่อนที่รถบัสวิ่งรอบ SML จะหมดก่อนคะ เดินเลยที่พักไปนิดเดียวคะ ต่อแถวรอสักพัก รถบัสก็มา ตอนนั้นประมาณ 4 โมงเกือบ 5 โมงเย็นแล้ววว

บรรยากาศในวัดตอนนั้นคะ เขาปิดไม่ให้ไหว้พระแล้ว แต่สามารถเดินเข้าไปชมและถ่ายรูปได้


สิงโตสีแดง มี 2 ตัวซ้ายขวา เคยอ่านมาเขาบอกตัวละ 1 ล้านบาทเลย มองออกไปหน้าวัดมีถนนและวิวทะเลสาบ ในรีวิวสวยมากคะ แต่เรามาเย็นไปหน่อย หมอกลงหนามากกกก ไม่เห็นอะไรเลยยย



ประตูหน้าวัด ใหญ่อลังการ เขาว่ากันว่า ใครมา SML ต้องได้มาวัดนี้นะคะ


คนเริ่มกลับหมดแล้ว ตอนนั้นก็เริ่มมืด เพราะอากาศเย็นหมอกลงมืดเร็วมากเลย เรารีบออกจากวัดมารอรถบัสเพื่อกลับไปที่พักคะ รอนานมากกก ดูเวลารถวิ่งผ่านตรงท่ารถมีรอบ 17.45 18.00 ใกล้เคียงเวลาเรารออยู่ แต่รอแล้วรออีก จนเริ่มหวั่นไหวว่ารถจะไม่มาแล้วจะกลับกันยังไง T^T

ฟ้าประทานนนน มีผู้ชายปั่นจักรยานมา 2 คนคะ มาช้าๆ โบกมือให้เขาจอดเลย แล้วถามเขาว่าจะมีรถรอบสุดท้ายผ่านตอนไหน เขาก็จอดจักรยานลงมาดูให้ที่ป้ายรถบัส เขาบอกประมาณว่าให้รอเวลานี้ๆ เดี๋ยวจะมีรถวิ่งมา โชคดีที่เขาพูดอังกฤษได้อีกแล้ว เราเลยอุ่นใจคะ 555555555 

มีคนหนึ่งเขาถามว่า มาจากกรุงเทพใช่มั้ย ดีใจมาก 555 เขารู้ว่าเป็นคนไทย เขาก็พูด "สวัสดีครับ" ทักทายเราก่อนปั่นจักรยานไปต่อ

รอรถต่อไปปปปปป หนาวก็หนาว ลมก็พัด ฝนเริ่มตกปอยๆ 
สักพักหนึ่งมีผู้หญิงอีกคนมายืนรอรถกับเรา อุ่นใจขึ้นไปอีกขั้น 555555 เรามีเพื่อนแล้วววววววว

เวลาประมาณ 6 โมงเย็น รถบัสก็มาค่าาาา 
เมื่อมาถึงที่พัก เราก็เช็คอินเอากระเป๋าเก็บก่อน เจ้าของที่พักน่ารักมากกก พูดอังกฤษได้คะ แต่บางทีก็พูดปนกับภาษาจีน 5555 ต้องตั้งสติตอนฟังนิดนึง

มาดูที่พักคืนแรกกันดีกว่าา ที่พักเราชื่อว่า mei jen house
มีบริการพาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นทุกเช้าเวลา 05.30 น. คะ 

มาดูที่พักกันหน่อยดีกว่า 

เคาท์เตอร์ เข้ามาจะเห็นแบบนี้คะ มุมนี้ถ่ายจากข้างในออกไปหน้าที่พักนะคะ


มีมุมให้ชงกาแฟ ชา มีข้าวโอ๊ตด้วยคะ สามารถทำเองได้เลย


ห้องนอนเราอยู่ชั้น 3 เดินขึ้นคะ แบกขึ้นบันไดกันไป 
ห้องนอนที่เราพักกันคะ น่ารักมาก เตียงนุ่มมากกก จนนอนไม่สบาย แหะๆ 


                  

ชั้น 2 เป็นที่นั่งเล่น มีระเบียงด้วยคะ น่ารักมากกกก


ระเบียงชั้น 2 


ตอนเช็คอิน เขาถามเราด้วยว่าดูพระอาทิตย์ขึ้นมั้ย เราก็บอก ไป !!! คะ

หลังจากเช็คอินเสร็จ เราก็หาอาหารเย็นกินกัน แต่มื้อเที่ยง จัดหนักมากกกกก มื้อเย็นประหยัดคะ เลยไปฝากท้องไว้ที่ 7-11 เดินทางที่พักไปนิดเดียวเอง ใกล้มากกกกก

มาพูดถึงความแปลกของ 7-11 บ้านเขากันดีกว่า สิ่งที่เจอคือ
มีตู้ไอศครีมแบบกดแบบนี้ในเซเว่นด้วยยย มี 2 ราคาคะ หนาวก็หนาวแต่อดใจไม่ไหว จัดมา 1 แท่งคะ 555555 

        

อร่อยมากกกกกก นุ่ม ละมุน สุดๆๆๆ ราคา 35 เหรียญ แต่อันใหญ่จริงงงง

            อาหารเย็นต้องของคาวสิ มาๆ ดูกันนน เราเลือกกินสิ่งนี้คะ
             

                               เลือกหยิบใส่ในถ้วยเองเลยคะ มีพวกลูกชิ้น (น่าจะเป็นพวก อูด้ง ป่าวไม่แน่ใจ) กระหล่ำห่อหมู ฟัก 
                             อันดับแรกเราก็เลือกบะหมี่ก่อน แกะใส่ถ้วย ตักน้ำที่ต้มพวกลูกชิ้นนี้ราดลงมาเลย น้ำร้อนมาก เส้นสุกได้เลย แล้วก็อยากใส่ประมาณว่า ท๊อปปิ้งอะไรก็ตักใส่เองเลย ราคาอย่างละประมาณ 25 เหรียญคะ (แอบแพงนะ 5555555)


เรากินในถ้วย ส่วนน้าเรากินจานแดงคะ ไม่อร่อยเลยยยยย คิดว่าจะแก้เลี่ยนได้ ไส้กรอกก็มองแล้วคิดว่าน่าจะ ดึ่งๆ กัดแล้ว กรึ๊บบบ เหมือนพวกรมควัน แต่ไม่นะะะ มันนิ่มมากกก มีแต่แป้งงงง

โดยรวมมื้อนี้คือ จืดสนิททททท จืดจริงๆ ไก่ในจากแดงคิดว่าจะมีรสชาติจัดจ้านแต่เลียนและจืดมากกกก

โชคดีที่หยิบนมเปรี้ยวมา 2 ขวดคะ อันนี้ไม่จืดเนอะ 55555 เหมือนยาคูลบ้านเราปกติ ช่วยได้มากเลย

อ้อ !!! ขวดชานม ข้างๆขวดนมเปรี้ยว รีวิวเขาว่าอร่อย ซื้อกลับไทยเป็นว่าเล่น 
แต่ๆๆ เราลองกันแล้ว ชานมไต้หวัน แท้ๆ มันหวานน้อยกว่าที่ในขายบ้านเรามากกกกกกก บ้านเราทำหวานมากเลยเมื่อเทียบกับขวดนี้ ของเขาเน้นกลิ่นชา เน้นความเป็นชามากกว่ามากกกก

สำหรับคนไม่ชอบหวาน ชานมนี้น่าจะตอบโจทย์นะ


ที่อยากนำเสนอมากเลยคือ นี่ !!!!  เซเว่นเขามี ชั้น 2 ค่าาา หรูมากกก 
ตอนแรกเราเห็นชั้นล่างที่นั่งเต็มแล้วเราเลยกะจะกลับไปกินที่ที่พัก แต่พนักงานเซเว่นเอาอาหารใส่ถาดให้แล้วยื่นมา แล้วชี้ให้ดูว่ามีบันไดขึ้นชั้นบนนะ ขึ้นมาแล้วอึ้งเลย 55555

เราก็กินอาหารเย็นกันที่นี่เลยคะ


ก่อนจะกลับไปพักผ่อน เราไปแวะร้านของฝากข้างที่พัก

เคยอ่านรีวิวมา !! (รีวิวมาอีกละ 555555555) คือ ไต้หวัน เป็นประเทศที่น่ารัก เขาจะชอบมีตัวปั้มให้ปั้มสะสมกัน แล้วร้านของฝากนี้ เราบังเอิ๊ญญญญญญ หันไปเจอตราปั้มวางอยู่ ซึ่งเขาจะวางทิ้งไว้ให้เลย เราสามารถเอาสมุดที่เราเตรียมมา ไปปั้มได้เลยยยย

นี่ ไงงง SML เขามีนกฮูกเป็นสัญลักษณ์ ตราปั้มเลยเป็นนกฮูก ที่แรก ได้มา 3 ตราปั้มเลยยยย

เป็นคอลเลกชั่น แรกของเราา ^^



ขอจบวันแรกที่ไต้หวันด้วยภาพนี้ละกันเนอะ ^^ (ภาพจากท่าเรือที่ขึ้นกระเช้า ตอนเย็น)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น